เรื่องเล่าครอบรอบ 1 ปีในการขายของบน eBay

จากการติดตามและศึกษาการทำธุรกิจบนอินเตอร์เนตมาตั้งแต่ช่วงแรกที่กระแสดอทคอทพ์กำลังมาแรง ผมพบว่าการทำธุรกิจบน eBay น่าสนใจมาก แต่น่าเสียดายที่ในตอนนั้น การขายของบนอีเบย์ไม่ง่ายอย่างในปัจจุบัน โดยเฉพาะเรื่องการโอนเงินที่ขายของได้จากบัญชี Paypal เพราะช่วงนั้น Paypal ยังไม่สามารถใช้ได้ในประเทศไทย ขั้นตอนการโอนเงินก็ค่อนข้างยุ่งยาก ส่วนมากผู้ที่ทำได้ก็มักจะเป็นผู้ที่เคยอยู่หรือเคยไปเรียนหนังสือที่อเมริกา มาก่อนและมีบัญชีธนาคารที่สามารถรับโอนเงินจาก Paypal อย่างไรก็ตามผมได้ดำเนินการสมัครบัญชี eBay และ Paypal เอาไว้ตั้งแต่ปี 2004 และทิ้งไว้โดยที่ไม่ได้ทำอะไรกับมันเป็นเวลากว่า 5 ปี จนในปี 2009 ผมจึงได้ตัดสินใจทดลองขายของบนอีเบย์เป็นครั้งแรก เนื่องจากอุปสรรคเรื่องการโอนเงินนั้นหายไปแล้ว เพราะธนาคารทุกแห่งในประเทศไทย สามารถรับโอนเงินจาก Paypal ได้หมด

สำหรับเรื่องสินค้าที่จะขายไม่ใช่ปัญหา เพราะผมเป็นผู้ผลิตสินค้าเอง และก่อนหน้านั้นก็มีคนนำสินค้าของผมไปขายบนอีเบย์เป็นจำนวนมาก ความจริงแล้วผมก็ลังเลอยู่พอสมควร ไม่อยากที่จะมาแข่งขันกับลูกค้าของตนเอง แต่เห็นว่าเป็นการทำเพื่อทดลองการขายของผ่านทางอินเตอร์เนต ซึ่งเป้าหมายของเราคงไม่หยุดอยู่เพียงเทานี้

จำได้ว่าในการประกาศขายสินค้าครั้งแรกบนอีเบย์นั้น รู้สึกตื่นเต้นพอสมควร แต่โชคดีที่มีคนสนใจสินค้าของเรา เข้ามาประมูลซื้อสินค้าและสามารถขายได้ในเวลาไม่นานนัก ในช่วงแรกๆผมใช้บริการการส่งสินค้าโดย DHL Global Mail Service ซึ่งก็คล้ายๆกับไปรษณีย์ไทย แต่เรารู้สึกว่าลูกค้าน่าจะให้ความเชื่อถือมากกว่า เพราะเป็นบริษัทระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียง นอกจากนั้นระบบการติดตามสินค้าก็น่าจะดีกว่าของไปรษณีย์ไทย ข้อเสียก็คือราคาค่าส่งที่สูงกว่า และจำเป็นต้องเปิดบัญชีกับยเค้า โดยหากเป็นบุคคลธรรมดาก็ต้องมีการค้ำประกันโดยธนาคาร (เราต้องนำเงินจำนวนหนึ่งไปฝากไว้ที่ธนาคารและไม่สามารถเบิกถอนได้เป็นเวลาประมาณ 2-3 ปี)

ในช่วงเดือนแรกๆนั้น สามารถขายสินค้าได้ดีพอสมควร จนได้ Powerseller และ Top rated seller ในเวลาไม่นาน จากประสบการณ์ในช่วงที่ได้เป็น Top rated seller นั้น รู้สึกว่าไม่ค่อยได้ช่วยให้เราสามารถขายสินค้าให้ดีกว่าเดิมสักเท่าไร และตำแหน่งในการค้นหา Keyword ที่เกี่ยวกับสินค้าเราก็ไม่ได้ช่วยให้เราอยู่ในระดับต้นๆ ผมเข้าใจว่าคงมีปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อตำแหน่งในการค้นหา

ในช่วงปลายๆปี ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจประจำที่ทำอยู่กำลังยุ่ง เพราะเศรษฐกิจเริ่มกลับมาดีขึ้น ทำให้ความสนใจในการขายสินค้าบนอีเบย์ลดลง และไม่ค่อยได้แปะขายสินค้าแบบประมูลสักเท่าไร คงมีแต่สินค้าที่อยู่ใน eBay Store ที่เปิดเอาไว้ ยอดขายในช่วง 3-4 เดือนตอนปลายปี 2009 และต้นปี 2010 จึงไม่ค่อยดีมากนัก ซึ่งก็เป็นผลทำให้ผมหลุดจาก Top rated seller ในที่สุด

พอมาช่วงที่ธุรกิจประจำที่ทำอยู่เริ่มเบาลง ก็เลยกลับมาขยันแปะขายของบนอีเบย์อีกครั้ง ซึ่งก็ได้ผล เพราะก็เริ่มขายสินค้าได้ดีอีกครั้ง อย่างไรก็ตามในช่วงนี้อีเบย์เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงกฎใหม่ (อีกแล้วครับท่าน) โดยจะให้สินค้าที่อยู่ใน eBay Store สามารถมาปรากฎจากการค้นหา ซึ่งปกติจะมีเฉพาะสินค้าประเภท Auction และ Fixed  Price เท่านั้น ตรงนี้เองส่งผลต่อการขายสินค้าของผมพอสมควร ถึงแม้ค่าธรรมเนียมจะลดลงนิดหน่อย แต่จำนวนสินค้าที่ค้นหาจะเพิ่มจำนวนขึ้นมากหลายเท่าตัว ทำให้ลูกค้าใหม่ไม่มีโอกาสได้เจอสินค้าของเราถ้าหากตำแหน่งในการค้นหาอยู่ในหน้าท้ายๆ

ตำแหน่งของสินค้าที่เกิดจากากรค้นหานั้นสำคัญมากๆ ต่อการขายสินค้า ทำให้ผมอยากทดลองว่าจะทำอย่างไรให้สินค้าของเราปรากฎในหน้าแรกๆ ของการค้นหาตามคีย์เวิร์ดหลัก สิ่งหนึ่งที่พบก็คือ เราต้องขยันแปะขายสินค้าแบบประมูลทุกๆวัน โดยอาจแบ่งเป็นวันละ 5- 10 ชิ้นก็ได้ ตรงนี้จะมีผลกับตำแหน่งในการค้นหา แต่นั้นหมายถึงว่าเราก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น ใครแปะขายสินค้ามาก ก็มีความน่าจะเป็นที่ตำแหน่งในการค้นหาสินค้าจะอยู่ในลำดับต้นๆ ทั้งหมดนี้เป็นสมมุติฐานส่วนตัวคงยากจะพิสูจน์ เพราะเราไม่ทราบหลักในการพิจารณาของ eBay

การขายสินค้าได้ดีขึ้น สิ่งที่ตามมาก็คือปัญหาจากลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเหตุผล โดยเฉพาะพวกที่ไม่ค่อนอ่านคำอธิบาย (Description) ของเราให้ดีก่อนประมูลหรือซื้อสินค้าของเรา

ความจริงสิ่งที่ผู้ขายสินค้าบนอีเบย์ทุกคนกลัวก็คือ Negative Feedback และ Low Detailed Seller Ratings (DSR:1s and 2s) อันประกอบด้วย 4 ปัจจัย คือ Item as described, Communication, Shipping Time, Shipping and Handling Charges.

ก่อนอื่นผมขอกล่าวถึง DSR ตัวที่มีปัญหามากที่สุด 2 ตัวก็คือ Communication และ Shipping Time และคิดว่าปัจจัย 2 ตัวนี้จะเป็นอุปสรรคต่อผู้ขายสินค้าที่เป็นคนไทย และส่งสินค้าจากเมืองไทยไปให้ลูกค้า เพราะโดยมากผู้ขายจะเลือกส่งสินค้ากับบริการของไปรษณีย์ไทยแบบพัศดุย่อยทางอากาศ ซึ่งจะใช้เวลาขนส่งประมาณ 2-3 สัปดาห์ หรือช้ากว่า (มีบ้างที่ใช้เวลาแค่7-9 วัน แต่นานๆ ครั้งถึงจะเจอ) การขนส่งแบบพัศดุย่อยทางอากาศนั้นจะเสียค่าส่งค่อนข้างประหยัด และแนะนำว่าควรจะลงทะเบียนด้วย โดยเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 55 บาท การลงทะเบียนจะมีประโยชน์มากสำหรับเวลาที่ลูกค้าสอบถามเรามาว่าส่งสินค้าหรือยัง ทำไมยังไม่ได้รับ อย่างน้อยเราก็มีหลักฐานให้ลูกค้าตรวจสอบได้ ข้อเสียของการลงทะเบียนอย่างหนึ่งก็คือ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 7-10 วัน นับจากวันที่เราส่งสินค้าที่ไปรษณีย์ เราถึงจะสามารถตรวจสอบได้ที่เวปไซท์ www.usps.com แต่มีบางครั้งที่ไม่สามารถตรวจพบได้ ตรงนี้ก็คงจะลุ้นให้ลูกค้าได้รับสินค้าของเรา

ในเรื่องระยะเวลาขนส่งนั้น โดยปกติเราควรเขียนให้ชัดเจนและเน้นว่าใช้เวลา 2-3 สัปดาห์ ถ้าลูกค้ารอไม่ได้ก็ไม่ต้องซื้อ เพราะไม่เช่นนั้นมันจะมีปัญหามากกับลูกค้าที่ไม่ค่อยมีเหตุผล ดังเช่นลูกค้าของผมที่ให้ Negative feedback แรกกับผม ที่ตลกมากก็คือเค้าให้ feedback ในตอนเช้า และพอตอนช่วงบ่ายเค้าก็ได้รับสินค้า ที่ผมทราบก็เพราะตรวจสอบจาก www.usps.com โดยใช้เลขที่ลงทะเบียนในการตรวจสอบ ผมพยายามอธิบายให้เค้าช่วยยกเลิก negative feedback ให้ด้วย สุดท้ายเค้าก็ไม่ทำอะไรให้ แต่ดีตรงที่ว่าเค้ายังมาเขียนตอบว่าได้รับสินค้าแล้ว ความรู้สึกเราก็คือโกรธมาก ไม่คิดว่าจะได้ feedbackแบบนี้ ผมได้แจ้งไปทางอีเบย์ และส่ง feedback revision ไปให้ลูกค้า แต่เค้าก็ไม่ตอบกลับ สุดท้ายก็ถือเป็นบทเรียนที่น่าเจ็บปวด

นอกจาก negative feedback แล้วยังต้องระวังคะแนน DSR จากลูกค้าอเมริกา ผมเองก็งงเหมือนกัน เพราะอยู่ดีๆ คะแนนด้าน Communication ที่ได้ 1 หรือ 2 เกิดเพิ่มจำนวนขึ้นมาก อย่างที่ไม่ทราบว่ามาได้อย่างไร เพราะก่อนหน้านั้น เราจะมีปัญหาเฉพาะด้าน Shipping time เท่านั้น คราวนี้เป็นเรื่องเพราะทำให้เราได้รับ "Below standard" ซึ่งทำให้เรามีความเสี่ยงที่จะถูกจำกัดการขายสินค้า

เราก็ยังพยายามทำใจดีสู้เสือ คือยังขยันแปะขายของเกือบทุกวัน แต่เราได้รับผลจาก "Below standard" เพราะมันทำให้ตำแหน่งในการค้นหาสินค้าของเราไม่อยู่ในหน้าแรกๆ ทำให้ไม่ค่อยมีลูกค้ามาซื้อสินค้า ยอดขายก็ตกลงอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อมีครั้งแรกแล้วมักจะมีครั้งที่สองตามมา หรือซวยซ้ำอีก ผมได้รับ negative feedback ครั้งที่สอง จากลูกค้าอีกคน สิ่งที่เหมือนกันก็คือ ความไม่ยุติธรรม ลูกค้าแจ้งว่าสินค้าที่ได้รับมีขนาดเล็กว่าที่คาด เพราะคิดว่า ขนาดที่เราอธิบายใน Description มันมีหน่วยเป็นนิ้ว และยังบอกว่าสินค้าของเราไม่ใช่แก้วเป็นพลาสติก ผมก็เลยตอบกับไปว่าผมอธิบายขนาดสินค้าหน่วยเป็นเซนติเมตร และถ้าไม่เชื่อว่าเป็นแก้ว ก็ช่วยปล่อยตกลงพื้น จะได้รู้ว่าไม่ใช้พลาสติก

คราวนี้ผมก็แจ้งไปยังอีเบย์อีกเรื่อง การที่ได้รับฟีดแบ็คที่ไม่ยุติธรรม รอประมาณ 2 วันก็มีเจ้าหน้าที่ของอีเบย์ที่เป็นคนไทยอยู่ในเมืองไทยโทรมาคุยด้วยและอธิบายแนะนำว่าเราควรจะทำอย่างไร ทางเจ้าหน้าที่แนะนำให้เราติดต่อลูกค้าให้เค้าช่วยแก้งไขฟีดแบ็คนี้ ถ้าลูกค้าตกลงจึงค่อยส่ง Feedback revision ไปให้ เค้ามีเวลา 1 เดือน ถ้าเลยกำหนดนี้ไปก็จะไม่สามารถแก้ไขอะไรได้ ผมก็ทำตามที่เจ้าหน้าที่แนะนำ ก็ยังไม่รู้ว่าผลจะเป็นอย่างไร

นอกจากนี้ ผมยังได้รับ email จากเจ้าหน้าที่อีเบย์ที่อเมริกา แจ้งว่าเข้าใจเหตุผลของเรา และทางลูกค้าเค้าก็ปิดเครสไปแล้วอย่างรวดเร็ว เหมือนรู้สำนึกผิด แต่ที่สำคัญถ้าต้องการลบ Negative feedback ก็ต้องให้ลุกค้ายินยอมก่อน ตอนนี้ก็คือต้องรอลูกค้าตอบกลับมาเท่านั้น

มาถึงตอนนี้ทำให้ผมเข้าใจเรื่องการขายสินค้าบนอีเบย์มากขึ้น ยังมีปัจจัยหลายอย่างที่เราควบคุมไม่ได้และเราควรมีแผนสำรอง ถ้ายังหากต้องการจะทำธุรกิจขายของบนอินเตอร์เนตต่อไป

ในส่วนต่อไป ผมจะมาสรุปข้อดีข้อเสีย รวมทั้งข้อแนะนำที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจทำธุรกิจบนอีเบย์

ความคิดเห็น